|
การฟื้นฟูเซลล์ด้วยเซลล์ชีวิต คือการซ่อมแซมเซลล์ร่างกาย ชะลอความเสื่อมและความชรา และฟื้นฟูภูมิชีวิตป้องกันมะเร็ง โดยใช้หลัการเซลล์ซ่อมเซลล์ ซึ่งเป็นการดูแลรักษาความเจ็บป่วย ที่เกิดจากความเสื่อมของเซลล์ที่ต้นเหตุนั่นคือการซ่อมแซมเซลล์ที่เสื่อมสภาพ โดยใช้ เซลล์ชีวิตซึ่อประกอบด้วยหน่วยย่อยของ โปรตีนที่เรียกว่า เปปไทด์ ซึ่งอยู่ในเซลล์นั้นๆ แนวคิดของวิชานี้ได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์การแพทย์ตั้งแต่ 2,400 กว่าปีมาแล้ว มาจากบิดาแห่งการแพทย์ของโลกคือ Hippocetes ซึ่งกล่าวถึงการซ่อมแซมเซลล์ที่เหมือนกัน เช่น ผู้ป่วยโรคตับ ก็ต้องใช้ตับมารักษา ทำนองเดียวกับโรคไต โรคหัวใจ
เมื่อประมาณ ค.ศ. 1931 ศาสตราจารย์ นพ.พอล นีฮวน (Dr.Paul Nichans) ศัลยแพทย์ชาวสวิส ได้ค้นพบว่าเซลล์ที่เหมือนกันจะเดินทางไปรักษา ไปซ่อมแซมเซลล์ที่อยู่ในอวัยวะเดียวกัน เช่น เซลล์ของตับก็จะเดินทางไปรักษาตับ เซลล์ของหัวใจก็จะเดินทางไปรักษาหัวใจ แม้กระทั่งอวัยวะเล็กๆ เช่น ต่อมหมวกไต ประสาทตา เซลล์จอตา หรือ เซลล์สมองพวก Cerebrum, Cerebellum ก็จะยังเกิดขบวนการซ่อมแซมภายหลังจากที่ได้รับเซลล์ชีวิตเข้าไป ทฤษฎีนี้เรียกว่า Cell Heals Cell
การค้นพบของ ศ.นพ.นีฮาน นับเป็นความบังเอิญที่สำคัญ เนื่องจาก ศ.นพ.นีฮาน ขณะนั้นเป็นศัลยแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านการปลูกถ่ายต่อมไร้ท่อมือของสวิส ท่านมีเพื่อนคนหนึ่งซึ่งมีอิทธิพลต่อการค้นคว้าของท่านอย่างมาก คือ Dr.H.W.CUSHING (1869 – 1939) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยเยลล์ ทั้งสองเดินทางไปมาหลายครั้งและแลกเปลี่ยนความรู้ด้านต่อมไร้ท่อกันอยู่เสมอ วันหนึ่ง ศ.นพ.นีฮาน ได้รับการปรึกษาให้ปลูกถ่ายต่อมพาราไทราอยด์ให้กับผู้ป่วยคนหนึ่ง ซึ่งถูกตัดต่อมนี้โดยอุบัติเหตุจากการผ่าตัดไทรอยด์ ผลคือหลังจากการพักฟื้น เธอก็เริ่มมีอาการซักกระตุก เนื่องจาก ขาดฮอร์โมนพาราไทรอยด์ เมื่อ ศ.นพ.นีฮาน เดินทางไปถึงคนไข้อยู่ในภาวะชักกระตุกรุนแรง ไม่สามารถทำการผ่าตัดได้ ศ.นพ.นีฮาน จึงตัดสินใจบดต่อมพาราไทรอยด์จากสัตว์ที่เตรียมมาจนแตกละเอียดในน้ำเกลือ แล้วนำน้ำที่ได้จากการบดนั้นฉีดเข้ากล้ามเนื้อให้กับผู้ป่วย ผลปรากฎว่าผู้ป่วยหายจากอาการชักเกร็ง จนต่อมาอีก 25 ปี ก็ไม่มีอาการใดๆ
แม้แต่ ศ.นพ. นีฮาน เองก็ยอมรับว่า เขาเองก็แปลกใจพอๆ กัยผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ของวันนั้น เนื่องจากเขาคิดว่าผู้ป่วยคงจะหายจากการชักเกร็งชั่วคราว ซึ่งฮอร์โมนสดที่ได้รับจากการบดต่อมพาราไทรอยด์สด มีผลทำให้ผู้ป่วยกลับหายขาดเป็นเวลาต่อมาอีกหลายปี โดยในหลัง ศ.นพ. นีฮาน ก็ค้นพบหลักการของ ทฤษฎีเซลล์ซ่อมเซลล์ นั่นเอง
นพ.ฮานส์ ชมิดท์ (Dr.Hans Schmidt) เป็นบิดาแห่งชีววิทยาภูมิคุ้มกัน (Immuno Biology) ของวงการแพทย์เป็นเวลากว่าทศวรรษที่ นพ.ฮานส์ ชมิดท์ ได้ศึกษาเกี่ยวกับปฏิกิริยาต่อต้านทางภูมิคุ้มกัน ที่เกิดขึ้นเมื่อมีโปรตีนแปลกปลอมหลุดเข้าไปในกระแสดเลือด สิ่งที่ ศ.นพ.นีฮานทำอยู่ นพ.ฮานส์ ชมิดท์ ถือว่าเป็นอาชญากรรมเลยทีเดียว นพ.ฮานส์ ชมิดท์ จึงตัดสินใจเดินทางไปเฝ้าดู ส.นพ.นีฮานทำการเตรียมสารละลายจากเซลล์ของอวัยวะสด แล้วฉีดยาให้ผู้ป่วย และรอดูอาการผู้ป่วยที่ได้รับเซลล์บำบัดด้วยตนเอง ก่อนที่ นพ.ฮานส์ ชมิดท์ จะจาก ศ.นพ.นีฮาน เขาได้พูดว่า
“คุณได้ทำลายงานวิจัยค้นคว้าตลอดชีวิตของผม ด้วยการฉีดยาเพียงเข็มเดียว” ศ.นพ. นีฮาน สายศีรษะและพูดว่า “ข้าพเจ้าไม่ได้ทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน การค้นคว้าของท่านยังอยู่ถูกต้องทุกอย่าง โปรตีนเก่าจะทำตัวเหมือนสิ่งแปลกปลอมและเกิดการต่อต้านภายใน 8 นาที แต่ไม่ใช่ Protoplasm ที่ยังอ่อนอยู่ แทนที่จะต่อต้านกลับไปซ่อมแซมอวัยวะ” ศ.นพ.มีฮาน ผู้มีรูปร่างผอม สูง นิ่ง พูดน้อยและถ่อมตน ตอบกลับไปอย่างสุภาพ การรักษาวิธีนี้ในช่วงแรกๆ จะใช้ในกลุ่มบุคคลชั้นนำ เนื่องจากค่าใช้จ่ายสูง ผู้รักษาต้องพักอยู่ในศูนย์บำดับทางการแพทย์ 1 สัปดาห์ Live Cell Therapy มีชื่อเสียงมาก เมื่อคราวที่พระสันตะปาปา Pius ที่ 12 ก็กลับฟื้นขึ้นมาและมีสุขภาพแข็งแรงได้ราวปฎิหาริย์ ต่อมาท่านพระสันตะปาปาได้แต่งตั้ง ศ.นพ.นีฮาน ในฐานนะ Papal Acadeny of Science เพื่อเป็นเกียรติและระลึกถึงความดีงามที่ ศ.นพ. นีฮาน ได้ทุ่มเททวานการรักษาพระองค์
บุคคลเหล่านั้นหลายคนรู้สึกดีที่จะยอมรับว่า เขาได้รับประโยชน์และช่วยฟื้นฟูความเป็นหนุ่มสาวตลอดจนความมีชีวิตชีวากลับคืนมาด้วย CELL THERAPY ซึ่งรวมทั้งตัวของ ศ.นพ.นีฮาน เองด้วย อย่างไรก็ตามรายชื่อบุคคลสำคัญที่เปิดเผยต่อสาธารณชน ก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก หากจะนำมาเป็นตัวอย่างเพียงบางส่วน ดังเช่นบุคคลต่อไปนี้ King George VI Of England, King Of Morcco And Yemen, Iba Saud Of Saudi Arabia, King Faisal, The Emperor And Empress Of Japan, Aga Khan And The Begum, The Duk And Duchess Of Windsor, Gen. Charles De Gaulle, Kourad Adenauer, Marlene Dietrich, Greta Garbo, Charlie Chaplin, Maurice Chevalier, Dwight D.Eisenhower, Winston Churchill, Thomas Mam, Christian Dior, Georges Braque. ต่อมา ศ.นพ.นีฮาน ได้รับเกียรติจากมหาวิทยาลัย TUBINGEN ให้เข้ารับดุษฎีบัณฑิตกิติศักดิ์จากการค้นคว้าของเขา โดยหลังสือแนะนำจาก THEODOR HEUSS ประธานาธิบดีคนแรกของเยอรมันตะวันตก
Peptide RNA
ศาสตร์ตราจารย์ นพ.คาลล์ ทอยเรอร์ (Dr.Karl Theurer) ชาวเยรมัน ได้พฒนการรักษา โดยใช้สารเปปไทด์ชีวภาพ (Peptide RNA) ซึ่งได้ตั้งสมมุติฐานว่า ความสำเร็จของ Live Cell Therapy น่าจะเกิดจากสารเปปไทด์ชีวภาพ (Peptide RNA) ที่อยู่ภายใน Cytoplasm ของเซลล์ที่ยังคงลักษณะทางชีวภาพไว้ได้ (Bioavailability) ศ.นพ.ทอยเรอร์ ค้นพบวิธี Acid-vapour-lysis และ Lyophylized ฯพเฟื Powder คือการแยกสารเปปไทด์ชีวภาพ (Peptide RNA) ที่สลัดได้จากขบวนการดังกล่าวยังทำให้เอกลักษณ์ของเซลล์ ซึ่งอยู่บนผลังเซลล์ถูกลบออกไป จึงไม่มีการต่อต้านจากระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ปราศจากการแพ้โดยสิ้นเชิง แต่สารเปปไทด์ชีวภาพ (Peptide RNA) นั้นยังคงสภาพทางด้านความจำเพาะเจาะจงต่ออวัยวะได้อย่างครบถ้วน (Homing Effect) คือ สารเปปไทด์ชีวภาพ (Peptide RNA) ที่ได้จากเซลล์ของอวัยวะหนึ่ง จะไปรักษาอวัยวะนั้นๆ อย่างจำเพาะเจาะจง วิธีการดังกล่าวได้รับการจดทะเบียนสิทธิบัตรเมื่อ ปี ค.ศ.1950 รัฐบาลเยอรมันได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาที่ทำจากสารเปปไทด์ชีวภาพ (Peptide RNA) จำนวน 100 ตำรับ และใช้รักษาโรคที่เกิดจากความเสื่อมของเซลล์มาจนถึงปัจจุบัน
ต่อมาเมื่อประมาณ 25 ปีที่ผ่านมานี้ ศาสตราจารย์ ดร.ไซเฟิร์ท (Dr.Med.Seifert) ได้ทำการทดลองโดยใช้เซลล์ 3 ชนิดคือ Lier.Myocardium และ Kidney ย้อมด้วยกันมัตภาพรังสีแล้วฉีดเข้าไปในหนู หลังากฉีดแล้วได้ติดตามเซลล์ที่ฉีดเข้าไป โดยการตรวจหาสารกัมมันตภาพที่สะสมอยู่ตามอวัยวะต่างๆ ทุก 2 ชั่วโมง จนครบ 8 ชั่วโมง พบว่าเซลล์ที่เหมือนกันจะเดินทางไปยังเซลล์ชนิดเดียวกันคือ Liver ไปยัง Liver,Myocardium ไปยัง Myocardium, Kidney ไปยัง Kidney ดดยตรวจพบว่าเซลล์ที่ย้อมสารกัมมันตภาพ จะเดินทางไปยังอวัยวะนั้นๆ ได้อย่างถูกต้อง ดร.ไซเฟิร์ทเรียกปรากฎการณ์ที่เขาค้นพบนี้ว่า Homing Effect ซึ่งเป็นการพิสูจน์สิ่งที่ฮิปโปเครตีส ได้บันทึกไว้ และเป็นการยืนยันว่าสิ่งที่ ศ.นพ.นีฮานค้นพบนั้นพิสูจน์ได้
ในห้วงอายุของมนุษย์ โดยทั่วไปเซลล์ต่างๆ จะแบ่งตัวชดเชยการสึกหรอประมาณ 50-60 ล้านครั้งจากการศึกษาพบว่า สารเปปไทด์ชีวภาพ (Peptide RNA) คือเปปไทด์ที่ช่วยเพิ่มการแบ่งตัวของเซลล์มนุษย์มากขึ้นไปกว่าเดิมอีกประมาณ 4-6 ล้านครั้ง ซึ่งเท่ากับว่าทำให้ช่วงอายุของคนเรายืนเยาว์ขึ้นและแข็งแรงขึ้นจากการทำงานของเซลล์ต่างๆ มีหน้าที่หลัก คือการสร้างโปรตีน แล้วโปรตีนที่ได้ก็ไปทำหน้าที่ต่างๆ เช่น เป็นน้ำย่อย เป็นฮอาร์โมน เป็นเนื้อเยื่อ ฯลฯ การสร้างโปรตีนในเซลล์จะคล้ายการปั้มตรายาง เมื่อใช้ไปนานๆ เข้า น้ำหมึกเริ่มแห้ง ตรายางเริ่มสึก คุณภาพของการปั้มก็จะเสียไป สารเปปไทด์ชีวภาพ (Peptide RNA) จะไปซ่อมแซม ดุจการซ่อมตรายางและเติมน้ำหมึก ทำให้คุณภาพการปั้มดีขึ้น นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า สารเปปไทด์ชีวภาพ (Peptide RNA) สามารถช่วยกำจัดเซลล์ผิดปกติ ตลอดจนคำสั่งที่ผิดพลาดต่างๆ ที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งจึงใช้เป็นการป้องกันและรักษาโรคมะเร็งได้หลายชนิด
ปัจจุบันมีแพทย์ประมาณ 20,000 คน ในยุโรป โดยเฉพาะเยอรมัน ที่ใช้สารเปปไทด์ชีวภาพ (Peptide RNA) ในการรักษาผู้ป่วย และมีประเทศที่ให้การรับรองด้วยวิธีนี้ทั่วโลก จำนวน 60 ประเทศ มีผู้เข้ารับการรักษาทั่วโลกประมาณ 180 ล้านคน โรคที่ได้รับการระบุว่าสามารถรักษาได้ด้วยเวย์โปรตีน คือ โรคความเสื่อมทุกประเทภ โรคหัวใจ เบาหวาน โรคความดับโลหิตสูง ความดันโลหิตต่ำ ภูมิแพ้ รูมาตอยด์ กระดูกเสื่อม ไตวาย หัวใจล้มเหลว เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ วัยทอง ความพิการทางสมอง ระบบประสาทถูกทำลาย โรคเครียด โรคตับ โรคสมองเติบโตช้าในเด็ก ปัญญาอ่อน โรคเลือด โรคเหงือกและฟัน โรคของตับอ่อน ต้อหิน ต้อกระจก ภูมิคุ้มกันต่ำ ภูมิคุ้มกันไวเกิน โรคหู โรคตา โรคผิดปกติของต่อมไร้ท่อภาวะมีบุตรยาก โรคผิวหนัง โรคเสื้นเลือดตีบ พาร์กินสัน แผลในกระเพราะอาหาร มีสถิติที่น่าสนใจ คือ โรคเรื่องรังต่างๆ รวมทั้งโรคที่สิ้นหวง มีอาการดีขึ้นได้ 80%
ส่วนเรื่องอาการแพ้หรือผลข้างเคียงนั้น ยังไม่เคยมีรายงานอาการแพ้รุนแรงแม้แต่รายเดียว ตลอดเวลานานกว่า 50 ปี ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม วารสาร Sonderdruck ปีที่ 9 เดือน กันยายน 1978 ได้ตีพิมพ์รายงานโดย Dr.Richard Weber เกี่ยวกับการใช้สารเปปไทด์ชีวภาพ (Peptide RNA) เพื่อต่อต้านความชราและฟื้นฟูสุขภาพ (Anti-aging) เป็นประสบการณ์ 10 ปีซึ่งได้ผลการรักษาสูง 90% ส่วนปฎิกิริยาไม่พึงประสงค์พบเพียงครั้งเดียว คือ อ่อนเพลีย เพียงรายเดียว
จุดเด่นของสารเปปไทด์ชีวภาพ (Peptide RNA)
- รักษาโรคที่รักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล
- ปราศจากการแพ้ หรือผลข้างเคียง
- สามารถใช้กับเด็กทารกอย่างปลอดภัย เหมือนกับการใช้สารอาหาร
- แก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่รักษาที่อาการ
- เป็นการฟื้นฟูร่างกายทั้งระบบ การเจ็บป่วยของมนุษย์ไม่ได้เกิดเพียงอวัยวะใดอวัยวะหนึ่ง แต่มักจะเชื่อมโยงทั้งระบบ
- ชะลอความเสื่อม ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น “GIVE LIVE MORE YEARS AND GIVE YEARS MORE LIVE”
ถาม-ตอบ เกี่ยวกับเปปไทด์ชีวภาพ
เปปไทด์ชีวภาพ อาหารเสริมสำหรับเซลล์ คืออะไร?
Peptide RNA คือ หน่วยย่อยที่เล็กกว่าโปรตีน เป็นสารธรรมชาติที่ทำหน้าที่ภายในเซลล์ ช่วยการประสานงานภายในเซลล์ และช่วยฟื้นฟูหน้าที่การทำงานของเซลล์ต่างๆ ซึ่งรวมไปถึงการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นทดแทน เซลล์เก่าที่ตายไปด้วย
เปปไทด์ชีวภาพ อาหารเสริมสำหรับเซลล์ มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?
เปปไทด์ชีวภาพ มีความปลอดภัยมากกว่าการรับประทานเนื้อสัตว์ เนื่องจากไม่มีโปรตีน จึงไม่มีการแพ้แม้ในคนที่มักจะแพ้อาหาร ไม่มีสารเคมีแปลกปลอม ขบวนการผลิตใช้ใตรฐานของการผลิตยา ซึงจะไม่มีสิ่งปลอมปน ปลอดภัยจากการปนเปื้อนทุกชนิด ไม่ปรากฏรายงานผลข้างเคียงใดๆ จากการใช้ในประเทศยุโรป มาประมาณ 50 ปี
อนึ่ง ในระหว่างการซ่อมแซมเซลล์ อาจมีอาการดังต่อไปนี้เกิดขึ้นได้ เช่น ปวดศีรษะ ง่วงนอน ปวดตามจุดต่างๆ ร้อนตามตัว โดยเฉพาะในผู้ที่การไหลเวียนของเลือดลมติดขัดส่วนใดส่วนหนึ่ง การซ่อมแซมร่างกาย จะไปเปิดทางเดินของเลือดลมที่ติดขันนั้น ดังนั้นในตอนแรกจึงมีอาการกฎิกิริยาในบริเวณที่มีปัญหา อาการเหล่านี้เป็นอาการที่พึงประสงค์เพื่อจะช่วยให้ร่างกายปรับสมดุล กล่าวคือ ขบวนการของร่างกายพยายามซ่อมแซมส่วนที่มีปัญหาแล้ว เช่น เปิดทางเดินเลือดลมที่ติดขัด, ปรับสมดุลของภูมิคุ้มกัน อาการต่างๆ เหล่านี้จะหายไปภายในระยะเวลาอันสั้น พร้อมกับการที่ร่างกายแข็งแรงขึ้น หากมีอาการกฎิกิริยาเกิดขึ้น จึงควรรับประทานเปปไทด์ชีวภาพต่อไปจนกว่าอาการปฎิกิริยาจะหมดไปเอง
เปปไทด์ชีวภาพมีหลักการทำงานอย่างไร?
เปปไทด์ชีวภาพ ใช้หลักการซ่อมแซมแซลล์ ด้วยการทดแทนเปปไทด์ที่สึกหรอและขาดหายไป จากการใช้งานมานาน ตั้งแต่เราเกิดมาจนกระทั่งเกิดความเสื่อม เมื่อเปปไทด์ที่ดีได้รับการชดเชย ทดแทน เซลล์ก็จะกลับมาทำหน้าที่ได้ดีดังเดิมอีก และเริ่มขบวนการซ่อมแซมเซลล์ เพื่อทดแทนส่วนที่เสียหายไปแล้ว
เปปไทด์ชีวภาพใช้ได้กับทุกคนหรือไม่?
เปปไทด์ชีวภาพ สามามรถใช้ได้กับทุกคน ทุกวัย แม้ในเด็กเล็ก ซึ่งการรับประทานเปปไทด์ชีวภาพก็เหมือนกับการกินสารอาหารประเภทอมิโนเอซิด ในปริมาณที่น้อยระดับนาโนกรัม
ขนาดรับประทานในคนปกติ และคนป่วย หรือผู้สูงอายุ
ในคนปกติที่ต้องการฟื้นฟูสุขภาพ รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 1 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า ส่วนผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุ รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า และก่อนอาหารกลางวัน
ข้อห้ามในการใช้เปปไทด์ชีวภาพ
ยังไม่พบข้อห้ามในการใช้เปปไทด์ชีวภาพ
ผู้ป่วยมะเร็งสามารถใช้ได้หรือไม่?
ในการศึกษาพบว่าเปปไทด์ชีวภาพสามารถยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งได้ ช่วยปกป้องเซลล์ที่ยังไม่ถูกมะเร็งทำลาย และช่วยเพิ่มจำนวนม็ดเลือดขาวที่ช่วยการกำจัดเซลล์มะเร็ง
Neygeront
นักวิทยาศาสตร์เยอรมัน สามารถแยกสารเปปไทด์ชีวภาพ (Peptide RNA) ออกมาจาก Placenta และค้นพบว่า ใน Placenta มี Growth Factor และ Enhancing Factor มากกว่า 9,000 ชนิด
ความลับของ Placenta เริ่มได้รับการเปิดเผยมากขึ้น จากกเดิมที่เราได้ยินว่าชาวจีน ได้นำเอา Placenta มาใช้รักษาโรคและเสริมความงามมาเป็นเวลาช้านานแล้ว ความก้าวหน้าในทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยเฉพาะเทคโนโลยีจากเยอรมันทำให้เราได้สารเปปไทด์ชีวภาพ (Peptide RNA) ที่มาจาก Placenta และ อุดมด้วย Growth Factor ซึ่งเป็นวิธีการของธรรมชาติในการกระตุ้นการเจริญเติบโตด้านอวัยวะร่างกายของทารกในครรภ์ทุกระบบ โดยผ่านจาก Placenta นี้เอง Growth Factor ต่างๆ ที่จะช่วยการเจริญเติบโตและการซ่อมแซมของร่างกายทุกอวัยวะ ทุกระบบ เช่น
Neural Cell Growth Factor ช่วยการฟื้นฟูของระบบประสาท
Epidermis Enhancing Factor ช่วยดูแลผิวพรรณ
Insulin like Growth Factor ช่วยชะลอความชรา
Immunce Enhancing Factor ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค
ใน Placenta ยังมี Stem Cell Stimulating Factor ซึ่งจะช่วยกระตุ้น Stem Cells ในร่างกายที่อยู่ในภาวะพักให้กลับมามีชีวิต เหมือนกับการเปิดสวิทซ์ ให้ Stem Cells เริ่มการทำงาน ในการซ่อมแซมร่างกาย และพบว่าสารเปปไทด์ชีวภาพ (Peptide RNA) สามารถกระตุ้น Stem Cells ได้เพิ่มมากขึ้นกว่าปกติถึง 10 เท่า
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
ในเดือนที่ 2 พละกำลังดีขึ้น ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าหายไป สีผิวกระจ่างขึ้น
ในเดือนที่ 3 การนอนหลับดีขึ้น ความมีชีวิตชีวากลับคืนมา ผิวหนังที่แห้งเหี่ยวจะนุ่มชุ่มชื้นขึ้น
ในเดือนที่ 4 การนอนหลับดีขึ้นมาก และตื่นขึ้นมาไม่อ่อนเพลีย ระบบย่อยอาหารดีขึ้น ผิวหนังจะละเอียดขึ้นและนุ่มขึ้น ทั่วทั้งร่างกาย
ในเดือนที่ 5 การนอนหลับเป็นปกติ พละกำลังดี สมรรถภาพทางเพศดีขึ้น รอยดำ เช่น ฝ้า บนใบหน้าค่อยๆ จายหายไป รอยย่น ตีนกาจะจางลง
ในเดือนที่ 6 ความจำดีขึ้น ผิวหนังจะดีขึ้นไปอีก ทั้งละเอียดนุ่มนวลและมีความยืดหยุ่น
ในเดือนที่ 7 ระบบภูมิคุ้มกันจะดี เนื้องอก หรือก้อนผิดปกติจะยุบไป
ในเดือนที่ 8-9 ร่างกายอยู่ในภาวะที่แข็งแรงในทุกๆ ด้าน
ประโยชน์ของเซลล์บำบัดที่ฟื้นฟูความสาวและเพิ่มพูนความมีชีวิตชีวา
หลักการของ “เซลล์บำบัด” คือ การฟื้นฟูเซลล์ของอวัยวะที่เสื่อมสภาพ กล่าอย่างง่ายที่สุด ก็คือ การบำบัดอวัยวะที่ถูก “ความแก่” หรือ “ความชรา” ทำลาย ให้กลับมีชีวิตชีวาได้อีกครั้งหนึ่ง
ในการฟื้นฟูความสาวด้วยเซลล์บำบัด อาจต้องใช้เวลาตั้งแต่ 3-6 เดือน หลังการฉีดเซลล์เข้าไป ซึ่งหลายคนอาจเห็นว่า ภายหลังจากฉีดเซลล์เข้าไปแล้ว กลับมีชีวิตชีวา นั่นไม่ใช่เป็นเพราะเซลล์ แต่เกิดจากการฟื้นตัวอขงฮอร์โมนที่ได้รับการปรับระดับให้สมดุลมากขึ้น ขณะที่เซลล์ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวระยะหนึ่ง เพื่อซ่อมและสร้างให้เกิดเซลล์ใหม่ที่แข็งแรงขึ้น
มีรายงานการศึกษาจากหลายประเทศถึงผลดีของการบำบัดเซลล์ในผู้ป่วยโรคเส้นโลหิตแข็งตัว ว่าจากการทดลองในหนู พบว่า การใช้เซลล์บำบัดช่ยเพิ่มความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อและเส้นโลหิต โดยภายหลังการทดลองนำเอาเส้นโลหิตที่ได้จากหนูมาทดงอลดึงเส้นโลหติ พบว่า เส้นโลหิตมีการคืนตัวเร็วขึ้นกว่าเดิมมากซึ่งเป็นลักษณะของเนื้อเยื่อที่อ่อนเยาว์
จึงไม่แปลก ถ้าจะสรุปว่า เซลล์บำบัด ทำให้เนื้อเยื่อเกี่ยวพันมีความยืดหยุ่นแข็งแรงขึ้น ซึ่งเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่แข็งแรงนี้เอง ที่เป็นส่วนสำคัญของผิวพรรณที่ดูอ่อนเยาว์ นอกจากนี้ยังสำคัญต่อการทำงานของข้อต่อกล้ามเนื้อและเส้นเลือดอีกด้วย แพทย์จำนวนมากเชื่อว่า การศัลยกรรมเสริมความงามจะได้ผลดีที่สุด ก็ต่อเมื่อผิวหนังมีความแข็งแรงและยืดหยุ่นสูง การทำศัลยกรรมความงามในผู้สูงอายุที่ผิวขาดความยืดหยุ่นหายได้เข้าสู่ภาวะกระบวนการ “เซลล์บำบัด” ก่อนการทำศัลยกรรม จะช่วยให้การทำศัลยกรรมนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การถ่ายเลือหรือส่วนประกอบอื่นๆ ของเลือด เช่น เม็ดเลือดขาว เล็ดเลือดแดง เกล็ดเลือด ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ เซลล์บำบัด รวมทั้งการปลูกถ่ายไขกระดูก ซึ่งปัจจุบัน อาจกล่าวได้วา ทั่วโลกมีผู้ได้รับการรักษาด้วยวิธีการ “เซลล์บำบัด” ซึ่งมีหลักการง่ายๆ คือ การปลูกถ่ายเซลล์หรือเนื้อเยื่อจากตัวอ่อนในครรภ์หรือเซลล์ที่อ่อนเยาว์จากแหล่งอื่น (สัตว์) เช่น แกะ วัว เป็นต้น
เซลล์บำบัด อาจเป็นส่วนหนึ่งของการปลูกถ่ายอวัยวะ แต่แทนที่จะต้องปลูกถ่ายตัวอวัยวะทั้งสิ้น ก็ใช้วิธีการปลูกถ่ายเซลล์ของอวัยวะนั้นขึ้นแทน โดยเซลล์ที่ได้รับการปลูกถ่ายขึ้นมาใหม่จะเข้าไปทำปฎิกิริยาให้อวัยวะนั้นๆ ทำงานดีขึ้น ในกรณีของการใช้เซลล์บำบัด เพื่อคืนความสาวสวย ที่นิยมกันมาก็คือ การฉีดเซลล์ผิวหฟนังของแกะเข้าไปกระตุ้นเซลล์ผิวหนังของคนเรา เพื่อฟื้นฟูและสร้างเซลล์ใหม่ที่มีชีวิตชีวา เปล่งปลั่ง สดใสและสาวสวยขึ้นภายใน 3-6 เดือน หลังการฉีดเซลล์!
“เซลล์บำบัด” กับ “สเต็มเซลล์”
อย่างที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่า “เซลล์บำบัด” คือ การฉีดเซลล์ของอวัยวะส่วนที่ต้องการการฟื้นฟู กลับเข้าไปเพื่ออ่านปฎิกิริยา และกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ของอวัยวะนั้นๆ ซึ่งปัจจุบัน วิธีที่นิยม คือ การใช้เซลล์จากตัวอ่อนในครรภ์ และเซลล์จากแกะ ซึ่งเชื่อว่าเป็นเซลล์ที่บริสุทธิ์มีแอนติเจนน้อยกว่า เรียกว่า หากต้องการฟื้นฟูเซลล์ของอวัยวะส่วนใด ก็ฉีดเซลล์ของอวัยวะส่วนนั้นกลับเข้าไป จะได้ผลดีและตรงที่สุด
ขณะที่การรักษาด้วย สเต็มเซลล์ (Stem Cell) มีหลัการทาน คือ การฉีดเซลล์ของอวัยวะส่วนที่ต้องการการฟื้นฟูกลับเข้าไปเพื่อทำปฎิกิริยาและกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ของอวัยวะนั้นๆ ซึ่งปัจจุบัน วิธีที่นิยม คือ การใช้เซลล์จากตัวอ่อนในครรภ์ และ เซลล์จากแกะ ซึ่งเชื่อว่าเป็นเซลล์ที่บริสุทธิ์มีแอนติเจนน้อยกว่า เรีกว่า หากต้องการฟื้นฟูเซลล์ของอวัยวะส่วนใด ก็ฉีดเซลล์ของอวัยวะส่วนนั้นกลับเข้าไปจะได้ผลดีและตรงที่สุด
ขณะที่ การรักษาด้วย สเต็มเซลล์ (Stem Cell) มีหลักการทำงาน คือ การใช้ สเต็มเซลล์ หรือเซลล์ต้นกำเนิดเข้าไปแบ่งตัวเพื่อสร้างเซลล์ส่วนต่างๆ ของอวัยวะที่ต้องการบำบัด ทั้งนี้เพราะ ในร่างกายมนุษย์จะมีเซลล์อยู่แล้วประมาณ 100 ล้านล้านเซลล์ แบ่งเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ 220 ชนิด โดยจะมีทั้งที่ตายไปและสร้างขึ้นใหม่ซึ่งการรักษาด้วยเซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์ บางครั้งเมื่อทดลองไประยะหนึ่งแล้ว อาจไม่ตรงกับอวัยวะส่วนที่ต้องการซ่อมแซมก็ได้ เพราะการแบ่งตัวของสเต็มเซลล์ในเบื้องต้นไม่มีใครรู้ว่าเซลล์ที่แบ่งตัวได้นั้นจะกลายไปเป็นเซลล์ชนิดใด ขณะที่การบำบัดด้วยเซลล์ สามารถใช้เซลล์ของส่วนที่สึกหรอซ่อมแซมตัวมันเองได้ทันที
ปัจจุบัน การเก็บสเต็มเซลล์ที่เป็นที่นิยมากที่สุด คือ การเก็บเลือดจากสายสะดือทารกแรกเกิด ซึ่งแน่นอนว่า จนถึงวันนี้ มีคนเพียงไม่กี่คนที่เกิดในยุคก่อนที่จะมีการเก็บเลือดจากสายสะดือหรือสายรกไว้ อีกส่วนหนึ่งคือการใช้สเต็มเซลล์จากตัวอ่อนของมนุษย์ ซึ่งก็ยังเป็นข้อถกเถียงกันในเชิงจริยธรรมอยู่ไม่น้อย
ผลข้างเคียงจากการใช้ “เซลล์บำบัด”
อาจกล่าวได้ว่า โอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ “เซลล์บำบัด” มีโอกาสแทบจะเป็นศูนย์หรือค่อนข้างน้อยมาก จากการรักษาด้วยวิธีการนี้ พบว่า ร่างกายมักยอมรับเซลล์ที่ฉีดเข้ามาในการบำบัดเซลล์อย่างดี และไม่ค่อยเกิดผลข้างเคียงมากนัก ส่วนหนึ่ง แพทย์วิเคราะห์ว่า อาจเป็นเพราะ การใช้เซลล์บำบัด โดยใช้เซลล์จากตัวอ่อนซึ่งระบบสร้างภูมิคุ้มกันยังไม่สมบูรณ์ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายหรือแอนติบอดี้ จะไม่โจมตีเซลล์ที่ถูกฉีดเข้าสู่ร่างกาย จึงพบผลข้างเคียงหรือการเกิดปฎิกิริยาในทางบลน้อยมาก ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากเซลล์ที่ฉีดเข้าไป จะสามารถหลุดพ้นจากการโจมตีของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายแล้ว เซลล์เหล่านี้ยังสามารถวิ่งเข้าสู่อวัยวะที่เกี่ยวข้องได้ในทันทีอีกด้วย เช่น เซลล์ของตับจะเข้าไปฟื้นฟูการทำงานของตับเซลล์ของไตจะเข้าไปซ่อมสร้างการทำงานของไต เซลล์ของต่อมเพศก็จะมุ่งเข้าสู่ต่อมเพศ
เรียกว่า ฉีดเซลล์ของอวัยวะชนิดใดเข้าไป เซลล์ก็จะเข้าไปที่อวัยวะส่วนที่มีเซลล์นั้นอยู่ ทำให้สามารถรักษาได้ตรงจุดมากกว่า และได้ผลรวดเร็วกว่า
ความลับ 3 ข้อของ “เซลล์บำบัด’
การทดลองของนักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการบำบัดด้วยเซลล์หรือ “เซลล์บำบัด” พบความลับ 3 ประการของ “เซลล์บำบัด” คือ
- เนื้อเยื่อของตัวอ่อนมีผลในการกระตุ้นมากที่สุด ทั้งนี้ เพราะ สิ่งมีชิวิตที่อายุน้อยจะมีพลังชีวิตที่มากกว่าสิ่งมีชีวิตที่ชราภาพหรือมีอายุมากแล้ว ตอบคำถาม ที่ว่า ทำไมจึงนิยมใช้เซลล์หรือเนื้อเยื่อของตัวอ่อนไม่ว่าจะจากคนหรือสัตว์ในการักษาด้วย เซลล์บำบัด
- ปฎิกิริยาการกระตุ้นของเซลล์ จะมุ่งเน้นที่การซ่อมสร้าง ฟื้นฟูอวัยวะส่วนที่สึกหรอ แต่ไม่ได้ข้อจำกัดว่าจะต้องเป็นสายพันธ์ใด อธิบายอย่างง่าย ก็คือ เซลล์ของตับก็จะเข้าไปฟื้นฟูตับ เซลล์ของผิวหนังก็จะเข้าไปฟื้นฟูผิวหน้ง เช่นเดี่ยวกับเซลล์ของสมอง ก็จะเข้าไปฟื้นฟูสมอง โดยไม่จำกัดว่า เป็นเซลล์ที่ไตมาจากสมองของคนหรือสัตว์ ตอบคำถามว่า ทำไมเซลล์จากแกะ จึงนำมาใช้บำบัดอวัยวะของมนุษย์ได้
มีการพิสูจน์แล้วว่า ร่างกายจะกำจัดเซลล์ที่ไม่ต้องการหรือไม่จำเป็นออกจากร่างกาย โดยไม่ทำให้ร่างกายเป็นอันตรายใดๆ
ตอบคำถามว่า มีผลข้างเคียงหรือภาวะความเป็นพิษที่เกิดจาก เซลล์ บำบัดหรือไม่ คำตอบ คือ “ไม่มี |